วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิธี Copy รูปจากเฟสบุ๊คด้วยการดาวน์โหลดทีเดียวทั้งอัลบัม ด้วย Google Chrome


หลายคนที่ต้องการรูปภาพจาก facebook แต่ไม่รู้จะว่าจะเอามาได้ยังไง หรือไม่ก็รู้แค่วิธีก็อปมาทีละรูป วันนี้ผมเลยมาแนะนำวิธี  Copy รูปจากเฟสบุ๊คด้วยการดาวน์โหลดทีเดียวทั้งอัลบัม  ด้วยแอปจากเบราวเซอร์ Google Chrome ซึ่งเจ้า app ตัวนี้มีชื่อว่า Download FB album มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับโดยขั้นตอนแรกภาพประกอบดังนี้

1.     ให้ download  facebook-album-downloader 

https://chrome.google.com/webstore/detail/facebook-album-downloader/jcheapnmfbmcccnbjhhkmleoiljgpmkl

ซึ่งลิงค์ก็จะเชื่อมไปยังหน้า Chrome Web Store และมีข้อแม้ว่าต้องใช้ Chrome ในการเข้า พอกดแล้วก็จะเจอดังภาพครับ

 

2. จากรูปภาพด้านบนให้คลิกที่ปุ่ม +เพิ่มใน CHROMEจะ alert ขึ้นมาแล้วให้เรากดปุ่ม เพิ่ม

3. จากนั้น app ก็จะทำการติดตั้งพอเสร็จแล้วจะปรากฎ Tools ข้างบนแถบบาร์เป็นรูปตามด้านล่างครับ

 



4.ต่อไปเข้าสู่การดาวน์โหลดรูปที่อัลบัมกันครับ เข้าไปอัลบัมรูปภาพในเฟสบุ๊คไปที่อัลบัมที่เราต้องการดาวน์โหลด


 
5. จากนั้นคลิกที่รูป tools   ในข้อที่ 3 แล้วก็จะปรากฎหน้าแท็บใหม่ขึ้นมา แล้วมีรูปภาพในอัลบัมโชว์ทั้งหมดดังภาพด้านล่างครับ

6. กด Zip download เพื่อทำการ Save รูป และรูปภาพทั้งหมดจะถูกดาวน์โหลดไว้ที่เดสก์ท็อปในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราครับ

 


7.  กด Generate File แล้วกด Download

 


วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เอฟบีไอ เตือน ระวังอันตรายจากมัลแวร์บนมือถือ

เอฟบีไอ เตือน ระวังอันตรายจากมัลแวร์บนมือถือ
มีรายงานล่าสุดจากทางเอฟบีไอ ได้ออกโรงเตือนประชาชนผู้ใช้สมาร์ทโฟน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ให้ระมัดระวังมัลแวร์ที่อาจจะสร้างความเสียหายได้
โดยหน่วยงานใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกแจ้งเตือนให้ผู้ใช้งานโทรฯมือถือได้ตระหนักถึงภัยอันตรายที่จะแฝงมา กับมัลแวร์ โดย Internet Crime Complaint Center (IC3) ซึ่งเป็นศูนย์ร้องเรียนอาชญากรรมบนอินเทอร์เน็ตของรัฐบาล รวมถึงเอฟบีไอ ได้ออกคำเตือนเรื่อง มัลแวร์บนมือถือ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา "IC3 ได้รับการตระหนักถึงมัลแวร์ต่างๆที่โจมตีระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์บนมือถือ ซึ่งบางส่วนเป็นมัลแวร์เวอร์ชั่นล่าสุดที่รู้จักกันในนาม Loozfon และ FinFisher" โดย IC3 ยังกล่าวต่อไปอีกว่า มัลแวร์ Loozfon จะมีการหลอกล่อเหยื่อโดยการส่งอีเมลที่มีลิ้งค์ให้คำมั่นสัญญาว่า "จะได้รับผลตอบแทน หากเพียงแค่ส่งอีเมลออกไป" ซึ่งมัลแวร์พวกนี้ จะมีการฝังตัวเองลงบนโทรฯเมื่อมีการเชื่อมโยงลิ้งค์หลังจากการคลิก โดยจะมีการขโมยข้อมูลที่สำคัญของผู้ใช้ไป ซึ่ง Loozfon เป็นภัยคุกคามต่อผู้ใช้ในสหรัฐฯ และเป็นปัญหาใหญ่ในญี่ปุ่น ในขณะที่ สปายแวร์ FinFisher จะโจมตีไม่เฉพาะแต่อุปกรณ์แอนดรอยด์เท่านั้น ยังข้ามไปยังอุปกรณ์ที่รันด้วยไอโอเอส, แบล็กเบอร์รี่, ซิมเบี้ยน และวินโดวส์โมบายด้วย โดยกูเกิลได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ และได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้าไปในแพลตฟอร์มแอนดรอยด์เวอร์ชั่นใหม่ หรือ เจลลี่บีน 4.1 ซึ่งมุ่งมั่นว่า จะมีความปลอดภัยมากกว่าระบบปฏิบัติการในรุ่นก่อน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้งานในปัจจุบัน ควรจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น อย่างการเข้ารหัส หรือ การตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่า แอปฯมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ก่อนที่จะทำการติดตั้งมัน และหลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อกับเครือข่ายไร้สายที่ไม่รู้จัก เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เรี่ยนรู้วิธีการโจมตีของแฮกเกอร์ว่ามีอะไรบ้าง

วิธีการโจมตีของแฮกเกอร์มีอะไรบ้าง
  ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นทุกวัน เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้จากทุก ๆ สถานที่เพื่อทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง แม้จะได้รับความสะดวกสบาย แต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเปิดเผยข้อมูลสำคัญออกไป โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รู้ตัว วันนี้ผมมีตัวอย่างการโจมตีเครื่องของคุณ ผ่านระบบเครือข่ายแบบต่าง ๆ และการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี
- Packet Sniffers
  คือการที่แฮกเกอร์ใช้กับดักจับแพ็กเก็ตที่วิ่งอยู่ในเครือข่ายเพื่อดักข้อมูลสำคัญ เช่นพาสส์เวิร์ค รหัสบัตรเครดิตเป็นต้น การหลีกเลี่ยงการโดนดักข้อมูลทำได้หลายวิธี เช่นเพิ่ม Authentication ให้มากขึ้นใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ช่วยป้องกันใช้เข้ารหัส (Cryptography)
- IP Spoofing
  เป็นวิธีการที่แฮกเกอร์จะปลอมตัวเสมือนว่าเป็นผู้ใช้งานปกติแล้วตั้งเครือข่ายเพื่อเป็นฐานในการโจมตีแบบอื่น ๆ ต่อไป วิธีหลีกเลี่ยงคือต้องกำหนด Access Control ให้รัดกุมขึ้นก็จะช่วยได้
- Denial-of-Service (Dos)
  ถือได้ว่าเป็นการโจมตีที่คลาสสิคที่สุด เนื่องจากความง่ายในการโจมตี ความเสียหายที่รุนแรง มีหลายวิธีมากเช่น Ping of Death , TCP SYN Flood ,TFN,Trinoo,Trinoo,Trinty ,Stacheldraht ซึ่งลักษณะการโจมตีแบบ Dos นั้นไม่ได้มุ่งหวังที่จะเจอะระบบเพื่อขโมยข้อมุล แต่มุ่งหวังจะทำให้บริการใด ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น ๆ ไม่สามารถให้บริการได้ต่อไป ซึ่งสามารถทำได้ โดยการเรียกใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์นั้นให้หมดไป ก็จะสร้างผลกระทบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราสามารถลดโอกาสการโจมตีแบบนี้ได้ด้วยการตั้งค่าไฟร์วอลล์
- Brute-Force Attack
  เป็นวิธีที่แฮกเกอร์ใช้ซอฟต์แวร์ทำการสุ่มหาพาสส์เวิร์ดของผู้ใช้ และเข้าไปสร้าง Back Door เอาไว้เพื่อเจอะระบบในครั้งต่อไป วิธีการป้องกันทำได้โดยการตั้ง พาสส์เวิร์ดให้ยากต่อการคาดเดา และหมั่นเปลี่ยน พาสส์เวิร์ด บ่อย ๆ
- การโจมตีแบบอื่น ๆ
  นอกจากนี้ยังมีการโจมตีในระดับแอพลิเคชั่น ซึ่งเป็นการหาช่องโหว่ของ แอพลิเคชั่นนั้น ๆ เพื่อเข้าโจมตีระบบ วิธีแก้ไขคือหมั่นติดตั้ง Patch ให้กับแอพลิเคชั่นอย่างสม่ำเสมอ
  ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ตัวอย่างบางส่วนหากต้องการความปลอดภัยจริง ๆ ก็คงจะต้องร่วมมือร่วมใจป้องกันอย่างต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงความเสียหายอยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้คุณก็ย่อมสบายใจได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว
ข้อมูลจาก http://www.arip.co.th/

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การใช้แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คให้ทน!!

เคล็ด(ไม่)ลับ ของการใช้แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คให้ทน!!


        หลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีของแบตเตอรี่สำหรับโน๊ตบุ๊กได้ถูกพัฒนาขึ้น จากเดิมที่เคยใช้แบตเตอรี่แบบ NiCd เป็นแบบ Lithium ion ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและใช้งานได้นานยิ่งขึ้น แต่การนำโน๊ตบุ๊กไปใช้นอกสถานที่ติดต่อกันเป็นเวลานานทั้งวัน โดยไม่ต้องพกหม้อแปลงชาร์ตไฟไปด้วยนั้นยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก ยังไงเราๆ ท่านๆ ก็ยังคงต้องอยู่กับการต้องแบกโน๊ตบุ๊คและหม้อแปลงชาร์ตไฟไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนกว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่จะพลิกโฉมให้สามารถใช้งานได้นานกว่าที่เป็นอยู่ เราคงต้องมาดูกันว่าเราจะสามารถช่วยเหลือตัวเองอะไรได้บ้าง กับการใช้โน๊ตบุ๊คที่ใช้แบตเตอรี่ Lithium ion ที่ใช้กันอยุ่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คยืนนานมากยิ่งขึ้น และมีชั่วโมงในการทำงานโดยมาต้องชาร์ตไฟให้มากกว่าเดิม โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน  โดยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้และดูแลแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี และส่วนที่สองจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการยืดชั่วโมงการทำงานโดยไม่ต้องชาร์ตแบตเตอรี่ให้นานยิ่งขึ้น

การใช้และดูแลแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี
1. ใช้ครั้งแรกต้องชาร์ตอย่างน้อย 8 ชั่วโมง อย่างแรกที่คุณจะต้องจำไว้เลยทุกครั้งที่ได้โน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาก็คือ จะต้องไม่เริ่มเปิดใช้ทันทีที่ชาร์ตแบตเตอรี่พียงพอที่จะเปิดใช้ได้ แต่จะต้องชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มและปล่อยให้ชาร์ตทิ้ไว้อย่างน้อย 8 ชั่วโมงติดต่อกัน ทั้งนี้เพื่อให้ชิปภายในตัวแบตเตอรี่มีการตั้งระดับค่าไฟที่ชาร์ตเต็มได้อย่างถูกต้อง และสามารถตัดไฟไม่ให้ชาร์ตได้ทันทีที่แบตเตอรี่ถูกชาร์ตเต็มไปแล้ว
2 . อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดไปเลยเด็ดขาด คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้แบตเตอรี่จนหมดเกลี้ยง และปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ชาร์ตไฟอีกเป็นเวลานาน เพราะถ้าหากคุณทำเช่นนั้น แบตเตอรี่จะหมดไปถึงขีดระดับขีดสุด จนอาจจะทำให้คุณไม่สามารถชาร์ตไปเข้าไปอีกได้ ดังนั้นควรชาร์ตไฟให้แบตเตอรี่ทันทีเมื่อระดับไฟในแบตเตอรี่เหลือต่ำกว่า 10% หรือชาร์ตไฟทันทีที่มีโอกาส เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟในแบตเตอรี่ถูกใช้ไปจนหมด
3. อย่าเสียบปลั๊กชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ตลอดเวลา บางท่านอาจจะชอบลืมเสียบปลั๊กชาร์ตไว้ตลอดทั้งคืน หรือไม่เคยดึงปลั๊กออกเลยทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน การทำเช่นนี้อาจจะทำให้ระดับการชาร์ตไฟเต็มลดลง เพราะชิปภายในแบตเตอรี่ได้ตัดไฟไม่ให้ชาร์ตตั้งแต่เมื่อแบตเตอรี่ถูกชาร์ตเต็มไปแล้ว แต่ความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นต่างหากที่เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้ประสิทธิภาพให้การชาร์ตไฟเข้าลดลงไปเรื่อยๆ
4. อย่าทำงานที่อุณหภูมิสูงเกินไป ปกติระดับอุณหภูมิที่แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คจะทำงานได้ดีที่สุดคือระดับอุณหภูมิห้อง หรืออยู่ระหว่างช่วง 10 ถึง 35 องศาเซลเซียล ดังนั้นคุณจึงควรนั่งทำงานในห้องที่มีระดับอุณหภูมิดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะเมื่อคุณทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน จริงๆ แล้วคุณสามารถทำงานในห้องที่ร้อนหรือหนาวกว่านั้นได้ แต่ให้จำไว้ว่ายิ่งทำงานในห้องที่มีความร้อนสูงขึ้นเท่าไหร่ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ก็ลดลงไปด้วยเป็นเงาตามตัว
5. อย่าทิ้งเครื่องไว้ในกระโปรงท้ายรถ หรือที่ที่ร้อนเกินไป ตามที่กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับผลกระทบของความร้อนสะสมกับแบตเตอรี่ ที่ถึงแม้จะมีความร้อนไม่สูงนัก แต่ก็ยังมีผลทำให้อายุการทำงานของแบตเตอรี่เป็นอย่างมาก ดังนั้นการทิ้งเครื่องไว้ในที่อุณหภูมิสูงกว่านั้นมาก เช่น ในกระโปรงท้านรถที่ทิ้งไว้กลางแดดติดต่อกันเป็นเวลานานก็ย่อมจะมีผลแต่อายุการใช้งานของแบตเตอรี่อย่างรุ่นแรงเช่นเดียวกัน คุณจึงต้องคอยระมักระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยหลีกเลี่ยงให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด
6. ถ้าจะไม่ใช้เครื่องนานให้ชาร์ตไฟเก็บไว้อย่างน้อย 40% ถ้าคุณจำเป็นจะต้องทิ้งเครื่องไว้ไม่ใช้งานเป็นเวลานาน เป็นเวลาหลายเดือน เช่น การเดินทางไปต่างประเทศ หรือ ซื้อโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาใช้แทนตัวเก่า ขอแนะนำให้ชาร์ตทิ้งไว้ประมาณ 40-50% ก่อนที่คุณจะทิ้งเครื่องไว้โดยไม่ได้ใช้อีกนาน ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบของการขาดช่วงการชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ให้น้อยที่สุด และมีโอกาสชาร์ตไฟเข้าแบตเตอรี่ได้สำเร็จเมื่อคุณกลับมาใช้เครื่องอีกครั้ง

เทคนิคการยืดชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่
1. เปิดใช้ฟังก์ชั่น Power Options บนระบบปฏิบัติการวินโดว์ คุณสามารถตั้งค่าการใช้ไฟจากแบตเตอรี่แบบต่างๆ ให้เหมาะสมได้ โดยให้คุณไปเปิดที่ Control Panel และดับเบิ้ลที่ไอคอนของ Power Options แล้วเลือกค่า Power schemes เป็นแบบ Portable/Laptop วินโดวน์ก็จะจัดการตั้งค่าการประหยัดไฟในแบบต่างๆ ตั้งแต่การตั้งเวลาการปิดหน้าจอ, การปิการทำงานของฮาร์ดดิสก์, การเข้าสู่สภาวะ standby และ hibernate โดยคุณสามารถปรับแต่งเวลาให้มากขึ้นหรือน้อยลงตามความต้องการของคุณได้
2. หรี่ความสว่างของจอ LCD หลายท่านคงจะยังไม่ทราบว่าจอ LCD บนโน๊ตบุ๊คเป็นส่วนหนึ่งที่กินไฟมากที่สุดในเครื่องโน๊ตบุ๊ค ดังนั้นการหรี่ความสว่างจอให้ต่ำลงจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการช่วยยืดชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่ โดยให้คุณพยายามปรับลงมาต่ำที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถทำงานได้ ซึ่งอาจจะช่วยให้คุณทำงานได้นานยิ่งขึ้นเป็นชั่วโมงเลยก็เป็นได้ ส่วนวิธีการปรับนั้น มีความแตกต่างกันไปตามรุ่นและยี่ห้อของโน้ตบุ๊คที่คุณใช้ ให้คุณลองศึกษาวิธีการปรับจากคู่มือที่มาพร้อมกับโน้ตบุ๊ค
3. ปรับลด Color Depth นอกจากการหรี่ความสว่างของจอแล้ว คุณยังสามารถประหยัดอัตราการใช้ไฟลงไปอีกระดับ ด้วยการปรับลด Color Depth หรือการลดมิติของสีที่แสดงบนหน้าจอ ซึ่งจะช่วยลดการทำงานของซีพียู อันจะมีผลทำให้ซีพียูกินไฟน้อยลงตามไปด้วย โดยให้คุณคลิกขวาที่หน้า Desktop แล้วเลือก Properties เพื่อเข้าหน้าต่าง Display Properties จากนั้นคลิกเลือกแท็ป Settings แล้วคลิกเลือกที่ Color quality จาก Highest(32 bit) เป็น Medium(16 bit)
4. ใช้ฟังก์ชัน hibernate การเข้าสู่สถานะ hibernate คือการปิดเครื่องแบบชั่วคราว โดยที่วินโดว์จะจัดการเก็บงานที่คุณกำลังทำอยู่ลงในฮาร์ดดิสก์ แล้วปิดการทำงานทั้งหมดของเครื่อง ขอแนะนำให้เปิดใช้งานฟังก์ชัน hibernate ทุกครั้งเมื่อคุณคุณคิดว่าจะหยุดใช้งานไปซักพักหนึ่ง หรือเมื่อต้องเคลื่อนยกย้ายเครื่องไปทำงานที่อื่นในระยะเวลาสั้นๆ เพราะนอกจากช่วยประหยัดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วยังช่วยให้คุณสามารถทำงานต่อไปได้หากแบตเตอรี่ได้หนดไปจริงๆ ในภายหลัง ส่วนวิธีการเข้าสู่สถานะ hibernate ให้คุณศึกษาจากคู่มือที่มาพร้อมกับโน้ตบุ๊ค
5. ปิดการทำงานส่วนต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ อีกวิธีการที่จะช่วยยือชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่คือการปิดการทำงานส่วนต่างๆ ที่คุรไม่ได้ใช้งาน ปิดการทำงานของ Wi-Fi และ Bluetooth ซึ่งกินไฟอยู่ตลอดถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ใช้อยู่ก็ตาม นอกจากนี้คุณยังสามารถปิดการทำงานของ Modem, LAN รวมไปถึงซีดีไดร์ทได้ด้วย โดยให้คุณเข้าไปที่ System Properties โดยกดปุ่มรูปวินโดว์ค้างไว้แล้วกดปุ่ม Pause Break จากนั้นคลิกที่แท็ป Hardware แล้วคลิกที่การทำงานที่คุณไม่ได้ใช้ ซึ่งจะเปิดหน้าต่าง Properties ของการทำงานนั้นขึ้นมา ให้คุณเลือก Do not use this device(disable) จากช่อง Device usage เพื่อหยุดการทำงานในส่วนนั้นไป
6. ปิดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งาน การปิดโปรแกรมต่างๆ ที่คุณไม่ได้ใช้ และเลือกเพียงโปรแกรมที่คุณต้องการใช้จริงๆ เท่านั้น การทำงานเช่นนี้จะเป็นการลดการทำงานของซีพียูลง ซึ่งก็จะมีผลทำให้การกินไฟของซีพียูลดลงตามไปด้วย วิธีการปิดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งานก็ง่ายๆ เพียงแค่คุณกดปุ่ม Ctrl, Alt และ Del พร้อมกัน เพื่อเปิดหน้าต่าง Windows Task Manager และคลิกที่แท็ป Processes คลิกเลือกโปรแกรมที่คุณไม่ต้องการใช้แล้วคลิกปุ่ม End Process เพื่อปิดการทำงานของโปรแกรมนั้น
 

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การแก้ไข InternetExplorer8 เข้าระบบ Estimates ไม่ได้

การแก้ไข InternetExplorer8 เข้าระบบ Estimates ไม่ได้

- ให้คลิ๊กที่ไอคอนรูปกระดาษฉีก (Compatibility View) ที่ address bar ด้านบน เพื่อเป็นการปรับสภาพให้แสดงหน้าเว็บที่ IE8 เปิดไม่ได้ คือ เปรียบเสมือนใช้ IE7 เปิด

- หากไม่มีไอคอนรูปกระดาษฉีก (Compatibility View) มีวิธีการดังนี้
1. ไปที่เมนู Tools -> Compatibility View Settings
2. ในช่อง Add this website ให้ใส่ชื่อเว็บ Estimates
      พิมพ์ 203.157.41.107 กด Add  
3. ทำเครื่องหมายถูกที่
       /  Include update website...
       /  Display Intranet...
          Display all websites...  (ติ๊กเครื่องหมายถูกออก)
4. ดูผลที่เมนู Tools -> จะมีเครื่องหมายถูกที่ Compatibility View และมีไอคอนรูปกระดาษฉีก (Compatibility View) ที่ address bar ด้านบน


วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

PMQA คืออะไร ??

              การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (Public Sector Management Quality Award : PMQA)  เป็นกรอบการบริหารจัดการองค์การ ที่สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ส่วนราชการนำไปใช้ในการประเมินองค์การด้วยตนเองที่ครอบคลุมภาพรวมในทุกมิติ เพื่อยกระดับคุณภาพการบริหารจัดการให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นให้หน่วยงานราชการปรับปรุงองค์การอย่างรอบด้านและอย่างต่อเนื่องครอบคลุมทั้ง 7 ด้าน (หมวด)  คือ 
(1) การนำองค์การ 
(2) การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์
(3) การให้ความสำคัญกับผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย        
(4) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้
(5) การมุ่งเน้นทรัพยากรบุคคล
(6) การจัดการกระบวนการ 
(7) ผลลัพธ์การดำเนินการ 


การประเมินองค์การตามเกณฑ์ PMQA ใช้แนวทางการบริหารจัดการแบบ“ADLI”
           โดยการตอบคำถามตามเกณฑ์ในแต่ละหมวด ซึ่งเปรียบเสมือนการตรวจสุขภาพองค์การ ที่จะทำให้ทราบจุดแข็งและโอกาสในการปรับปรุง และนำโอกาสในการปรับปรุงที่พบไปวางแผนพัฒนาองค์การให้มีประสิทธิภาพ โดยเลือกเครื่องมือทางการบริหารที่เหมาะสมมาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการพัฒนาองค์การในเรื่องต่างๆ เป็นไปอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ส่วนราชการมีระดับการบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานเทียบเท่าสากล


แนวทางการดำเนินงาน PMQA  เป็นอย่างไร?
         สำนักงาน ก.พ.ร.ได้นำ  PMQA มาใช้เป็นตัวชี้วัดกับหน่วยงานราชการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ในปี 2552 ได้พัฒนาเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐระดับพื้นฐาน (Fundamental Level : FL) ซึ่งเป็นแนวคิด “การปรับปรุงทีละขั้น” ได้วางแนวทางดำเนินการพัฒนาองค์การ (PMQA Roadmap) ให้ผ่านเกณฑ์ฯ ปีละ 2 หมวด สำหรับกรมและจังหวัด และปีละ 3 หมวด สำหรับสถาบันอุดมศึกษา

 
         สำหรับการดำเนินการขั้นต่อไปเมื่อส่วนราชการดำเนินการพัฒนาองค์การครบทุกหมวดและผ่านการรับรองเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐระดับพื้นฐาน (Certify Fundamental; FL) แล้ว สำนักงาน ก.พ.ร. จะส่งเสริมให้ส่วนราชการยกระดับคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐระดับก้าวหน้า (Progressive Level : PL) และเมื่อส่วนราชการสามารถดำเนินการผ่านเกณฑ์ฯ ระดับก้าวหน้า และพัฒนาองค์การอย่างต่อเนื่องเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ และยกระดับมาตรฐานให้เทียบเท่าสากลตามเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐต่อไป


ขอบคุณบทความดีๆ จาก
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบบริหารราชการ   http://www.opdc.go.th/special.php?spc_id=4&content_id=153          

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ก้าวสู่อาเซียน

"One  Vision, One Identity, One Community"
หนึ่งวิสัยทัศน์  หนึ่งอัตลักษณ์  หนึ่งประชาคม 

อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations หรือ ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ซึ่งได้มีการลงนามที่วังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510
วัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง อาเซียน คือ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาค ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพเสถียรภาพ และความมั่นคงทางการเมือง สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรมการกินดีอยู่ดีของประชาชนบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก 
สัญลักษณ์ของอาเซียน คือ รูปรวงข้าว สีเหลืองบนพื้นสีแดงล้อมรอบด้วยวงกลม สีขาวและสีน้ำเงิน
ปัจจุบันมีสมาชิกอาเซียนทั้งหมด 10 ประเทศ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม (อาเซียน+3 เพิ่ม จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อาเซียน+6 เพิ่ม ออสเตรเลีย อินเดีย นิวซีแลนด์)
ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ประกอบด้วยความร่วมมือ 3 เสาหลัก คือ
1. ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community–APSC)
2. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community–AEC)
3. ประชาคมสังคมและวัฒนธรรม (ASEAN Socio-Cultural Community–ASCC)
กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) คือ ธรรมนูญอาเซียนที่จะมีการวางกรอบของกฎหมายและโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียนในการขับเคลื่อนเพื่อการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี 2015 (พ.ศ.2558) เพื่อให้อาเซียนเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลในภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพมีประชาชนเป็นศูนย์กลางและเคารพในกติกาการทำงานระหว่างกันมากยิ่งขึ้น


ที่มา http://203.172.142.8/en/index.php?option=com_content&view=article&id=4&Itemid=21

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปัญหาสุขภาพกับมนุษย์ยุคดิจิตอล

แนวโน้มการใช้อุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น

จากการเปรียบเทียบจำนวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ (ข้อมูลจากการสำรวจการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน พ.ศ. 2551 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ) พบว่า

-  มีอัตราการใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ
   เพิ่มขึ้นทั้ง 3 ประเภทโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีผู้ใช้ประมาณ 16.54 ล้านคน (ร้อยละ28.2) ในปี 2547 ได้
   เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวคือ 31.86 ล้านคน (ร้อยละ 52.8) ในปี 2551

-  มีจำนวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน คือ ในปี 2547 มีจำนวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 12.54
   ล้านคน (ร้อยละ 21.4) และจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 6.97 ล้านคน (ร้อยละ 11.9)แต่ในปี 2551 มีผู้ใช้เพิ่มขึ้น
   เป็น 16.99 ล้านคน (ร้อยละ 28.2) และ 10.96 ล้านคน (ร้อยละ 18.2) ตามลำดับ (รูปที่ 1)


รูปที่ 1 ร้อยละของประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปที่ใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์ พ.ศ.22547-2551



ที่มา : รายงานการสำรวจการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน พ.ศ. 2551 หน้า 1
อ้างใน : http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/themes/theme_5-1-3.html


นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มคนที่ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมากที่ สุด คือ กลุ่มเด็กและวัยรุ่น โดยในกลุ่มอายุ 6-14 ปี มีอัตราการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 61.6 ส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตพบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 15-24 ปี คือร้อยละ 54.7 นับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่หลายๆ คนควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง(รูปที่ 2)


รูปที่ 2 ร้อยละของประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปที่ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต จำแนกตามกลุ่มอายุ พ.ศ. 2551



ที่มา : รายงานการสำรวจการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน พ.ศ. 2551 หน้า 16
อ้างใน : http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/themes/theme_5-1-3.html



ผลกระทบกับสุขภาพ

โทรศัพท์มือถือ

ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่มักมีพฤติกรรมการใช้แนบหูผู้ใช้กับเครื่อง อยู่ตลอดช่วงเวลาของการใช้งาน นั้นจะทำให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากการรับ-ส่งสัญญาณของโทรศัพท์มือถือ กระทบกับอวัยวะโดยตรง ทั้งบริเวณ หู ตา และเข้าไปถึงสมองส่งผลให้เกิดการทำลายเซลล์และเนื้อเยื้อในบริเวณดังกล่าว และถ้าผู้ใช้ยังคงมีพฤติกรรมทำนองนี้เป็นประจำจะเกิดผลกระทบทั้งในระยะสั้น และระยะยาวดังนี้

ผลกระทบในระยะสั้น

อาจเกิดอาการปวดหู ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มึนงง ขาดสมาธิและเครียด เนื่องจากระบบพลังงานในร่างกายถูกรบกวน และ

ผลกระทบในระยะยาว

อาจทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม มะเร็งสมอง มะเร็งเม็ดเลือดขาว นอกจากนี้ ผลจากการศึกษาพบว่า เนื้องอกในสมองมีความสัมพันธ์กับการใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะการเกิดเนื้องอกในสมองมักจะเป็นข้างเดียวกับข้างที่ใช้ฟัง-พูดโทรศัพท์ มือถือเป็นประจำ

เครื่องเล่น MP-3, IPOD และหูฟังของโทรศัพท์มือถือ

จากสรุปภาวะสังคมรายเดือน (กรกฎาคม2552) ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกล่าวว่า การเป็นโรคหูเสื่อมหรือหูดับ สาเหตุมาจากการนิยมฟังเพลงโดยใช้หูฟังจากเครื่องเล่น MP-3 หรือ IPOD รวมถึงการใช้หูฟังของเครื่องโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน และหากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังมาก เช่น ในศูนย์การค้าก็ต้องเปิดเสียงให้ดังเพื่อให้ได้ยินชัดขึ้นซึ่งเกินระดับ มาตรฐานการรับเสียง ส่งผลให้การได้ยินของเด็กไทยมีปัญหาค่อนข้างมาก

จากผลการสุ่มตรวจการได้ยินของของนักเรียนวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร ประมาณ 400 คน ของกรมควบคุมมลพิษ พบว่าร้อยละ 25 มีความผิดปกติในการรับฟังเสียง ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ปี 2550 มีผู้พิการทางหูเพิ่มขึ้นวันละ 35 คน หรือทั้งประเทศคาดว่าจะมีผู้ป่วยอาการประสาทหูเสื่อมประมาณ 2 ล้านคน

การใช้คอมพิวเตอร์

ผลกระทบจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ไม่ว่าจะเล่นเกม ทำงาน หรือเล่นอินเทอร์เน็ตมีดังนี้

1. ปัญหาเกี่ยวกับสายตา การใช้คอมพิวเตอร์นานเกินกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้ตาขาดน้ำหล่อเลี้ยงเกิดอาการระคายเคืองได้ และอาการที่ตามมาคือ ตาพร่าและมองไม่เห็นชั่วคราว รวมทั้งสายตาสั้นนอกจากนี้ยังมีอาการไมเกรนมาด้วย เพราะกล้ามเนื้อตาจะบีบรัดเลนส์ตาจนล้า

2. Computer Vision Syndrome (CVS) จะมีอาการเมื่อยล้าตา ปวดตา เคืองตา ตาแห้ง น้ำตาไหล ตามัว เห็นภาพซ้อน ปวดคอ หลังและไหล่

3. Repetitive Strain Injury หรือ RSI อาการนี้จะเกิดขึ้นจากการที่คนเรานั่งทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์แบบไม่ถูก สุขลักษณะ เช่น เอามือวางไว้บนคีย์บอร์ด และสามารถเกิดได้ทุกส่วนของรางกาย ตั้งแต่แขน ข้อมือ ข้อนิ้ว แผ่นหลัง ต้นคอ หัวไหล่และสายตา หากปล่อยไว้นานๆ อาจต้องผ่าตัดเอ็นก็มี

4. อาการท้องร่วงเพราะคีย์บอร์ด (Qwerty Tummy) ซึ่งชื่อของอาการนี้เอามาจากตัวอักษรชุดแรกบนแป้นคีย์บอร์ดนั่นเอง สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงคือ คีย์บอร์ดมักมีแบคทีเรียสะสมอยู่ หลายคนมักรับประทานอาหารหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีคีย์บอร์ดตั้งอยู่ แบคทีเรียเหล่านี้อาจจะปะปนในอาหารได้

5. Carpal Tunnel Syndrome เกิดจากการใช้งานซ้ำๆ ที่บริเวณข้อมือ ทำให้เอ็นรอบบริเวณข้อมือหนาตัวขึ้น แล้วไปกดเส้นประสาทที่วิ่งผ่าน ทำให้เกิดอาการชาและเจ็บได้

แนวทางป้องกันโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง

จะเห็นได้ว่ากลุ่มเสี่ยงคือวัยเด็กและวัยรุ่น เพราะฉะนั้น "ครอบครัว" โดยเฉพาะผู้ปกครองควรให้ความสำคัญและหาวิธีการเพื่อป้องกันก่อนที่จะกลาย เป็นปัญหา ซึ่งมีแนวทางในการปฏิบัติเบื้องต้นดังนี้

- ให้ความเอาใจใส่และเข้าใจบุตรหลานที่เริ่มเป็นวัยรุ่น

- แบ่งเวลาสำหรับพูดคุยกันในแต่ละวัน

- ให้คำแนะนำด้วยความเข้าอกเข้าใจ แสดงถึงความรักและห่วงใย

- สอดแทรกความรู้ถึงผลกระทบจากการใช้อุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์เสริมในการสนทนาและฟังเพลงเป็นเวลานาน หรือเปิดเสียงดังเกินไป โดยชี้ให้เห็นถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากใช้งานอย่างไม่เหมาะสมหรือผิดวิธี

- กระตุ้นให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมภายในครอบครัวมากขึ้น

- ส่งเสริมให้เด็กมีงานอดิเรกทำ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ แม้กระทั่งการเล่นกีฬาที่ชื่นชอบ


ที่มา: http://www.hiso.or.th/hiso/health_event/ghealth_event27.php

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

ใช้งานคอมพิวเตอร์สาธารณะอย่างไรให้ปลอดภัย

ใช้งานคอมพิวเตอร์สาธารณะอย่างไรให้ปลอดภัย

“ไม่ว่าคุณจะใช้งานพีซี คอมพิวเตอร์ที่ไหน ก็ไม่ปลอดภัยเท่ากับใช้งานที่บ้านของคุณเอง” แต่จะทำอย่างไรหล่ะ เมื่อคุณจำเป็นต้องไปใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นตามร้านอินเตอร์เน็ต ตามร้านคาเฟ่ สนามบินหรือแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์ของเพื่อนคุณ เพื่อให้มีความปลอดภัยในการใช้งาน รวมไปถึงข้อมูล history ประวัติการใช้งานต่างๆ
       มีเทคนิค การใช้งานคอมพิวเตอร์สาธารณะให้ปลอดภัย มาแนะนำ มีขั้นตอนหรือวิธีการทำอย่างไรบ้างนั้น
     1. ใช้ Portable Software ทุกครั้งที่ใช้งานใดๆ – Portable Software คือซอต์ฟแวร์ที่สามารถพกพา ไปใช้ที่ไหนด้วยก็ได้ โดยไม่ต้องติดตั้ง ยกตัวอย่าง
- Portable Firefox เว็ปเบราเซอร์เป็นประตูเปิดโลกสู่อินเตอร์เน็ต และถ้าคุณใช้ Firefox browser แบบพกพาผ่าน USB เพื่อเล่นอินเตอร์เน็ตที่เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ  User และ Password ของคุณอาจไม่ปลอดภัย
     2. เลือกตำแหน่ง ที่ตั้งของคอมพิวเตอร์ที่เป็นส่วนตัว ไม่มีใครรบกวนหรือเดินพลุกพล่าน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจ้องมอง แอบดูการใช้งานคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงชื่อผู้ใช้งานและ/หรือรหัสผ่าน
     3. ให้ลบไฟล์ที่สร้างหรือดาวน์โหลดไฟล์ลงฮาร์ดดิสออกให้หมด หลังจากที่ได้ทำการสร้างหรือดาวน์โหลดไฟล์มาแล้ว เมื่อทำการคัดลอกไปที่ Thumb Drive แล้ว ให้ทำการลบโดยการกดปุ่ม Shift+Delete(Del) เพื่อลบไฟล์โดยไปโยนไปลงถังขยะ
     4. ใช้ On-Screen Keyboard เพื่อป้องกันการดักจับจากโปรแกรม Keylogger โดยคุณสามารถใช้โปรแกรม Windows On-Screen Keyboard ช่วย ซึ่งสามารถเรียกใช้งานได้โดยการกดปุ่ม Windows+U แล้วเลือก On-Screen Keyboard เพื่อกรอกชื่อผู้ใช้งาน รหัสผ่านลงไปในโปรแกรมหรือเว็บที่ให้ระบุผู้ใช้งาน รหัสผ่าน
     5. เคลียร์ history, temporary internet files หลังจากที่เล่นอินเตอร์เน็ต โดย
- ถ้าใช้ Internet Explorer 7(IE7) ให้ไปที่เมนู Tools >  Delete Browsing History > Delete Al
- Internet Explorer (เวอร์ชั่นที่ต่ำกว่า IE7) ให้ไปที่เมนู Tools > Internet Options > เลือกที่แท๊บ General แล้วให้ดูที่ Temporary Internet files จากนั้นคลิก Delete Files แล้วคลิกที่ Delete Cookies และในส่วนของ History ให้คลิกที่ Clear History หรือสามารถเข้าไปลบไฟล์ได้โดยตรงที่ C:\Documents and Settings\username\Local Settings\Temp
- Firefox ให้ไปที่เมนู Tools > แล้วคลิกที่ Clear Private Data
     6. ให้ทำการ Logout ออกจากโปรแกรมใดๆหรือเวปต่างๆที่คุณ login เข้าใช้งานทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น IMs, Browser, FTP, หรืออื่นๆ
     7. อย่าทำการสั้งซื้อของหรือให้ข้อมูลส่วนตัว เมื่อคุณใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ ยกตัวอย่างเช่น เลขที่บัตรเครดิต, เลขที่ paypal account รวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ
     8. และที่ขาดไม่ได้ก็คือ เมื่อคุณทำทุกขั้นตอนที่ผ่านมาแล้ว ให้ทำการรีสตาร์ท(reboot) เครื่องใหม่ด้วยทุกครั้ง เพื่อทำการเคลียร์ข้อมูลที่ค้างอยู่ในหน่วยความจำหรือRAM รวมไปถึง Pagefile ต่างๆ
     เป็นยังไงกันบ้างครับ เคยทำหรือใช้ขั้นตอนวิธีไหนไปบ้างหรือยัง หรือหากใครมีวิธีการอื่นๆ นอกจากนี้ สามารถช่วยเพิ่มเติมได้นะครับ

ที่มา: http://webmonster.sapaan.net/

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รายงานการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานการจัดการความรู้ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๕

รายงานการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานการจัดการความรู้ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕
วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๕ ณ ห้องประชุมราชพฤกษ์ สคร.๕ นครราชสีมา
----------------------------

ผู้เข้าร่วมประชุม: คณะกรรมการทำงานการจัดการความรู้ สคร.๕
Facilitator: คุณธีรศักดิ์ และกลุ่มพัฒนาองค์กร

เริ่มประชุมเวลา ๐๙.๓๐ น.



วาระที่ ๑ เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
นายแพทย์ธีรวัฒน์ วลัยเสถียร ผอ.สคร.๕ เป็นประธานการประชุมและได้กล่าวถึง การทำ KM องค์กรจะเจริญเติบโต อย่างรวดเร็วและยั่งยืน ซึ่งเป็นเครื่องมือในการพัฒนาองค์กรที่ดีที่สุด
นวัตกรรมจากคนรุ่นใหม่ จากอบรม OD รุ่น ๓ (๕ กลุ่ม) เปิดเวทีให้กับรุ่นใหม่หากต้องการจะดำเนินการต่อ ให้จัดทำโครงการมานำเสนอ
วาระที่ ๒ เรื่องแจ้งเพื่อทราบ
นางนิ่มนวล ปุณยหทัยพงศ์  หัวหน้ากลุ่มพัฒนาองค์กร สคร.๕ ได้นำเสนอแนวคิดการจัดการความรู้ ตามไฟล์ PowerPoint ดังนี้
๒.๑  Conceptual
- การจัดการความรู้ในองค์กร การจัดการความรู้เป็น KPI ขององค์กร เพื่อให้เกิดองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization: LO)
- PMQA model ๗ หมวด
    หมวด ๕ การวัด วิเคราะห์ การจัดการความรู้ : ยุทธศาสตร์ละ ๑ เรื่อง
    หมวด ๖ การจัดการกระบวนการ : กระบวนการสร้างคุณค่า ๑ เรื่อง และกระบวนการสนับสนุน ๑ เรื่อง
- ทิศทาง  KM ปี ๕๕
- นโยบาย
- KM/R2R/Innovation/วิจัย (๐.๓๐ %)
๒.๒ KPI (ร่วม) ปี ๕๕ สู่บุคคล
- ระดับความสำเร็จของการจัดการความรู้ของหน่วยงาน KM/R2R/Innovation (KPI ร่วม ปี ๒๕๕๕)

ระดับต่ำสุด
ที่ยอมรับได้
ระดับต่ำกว่ามาตรฐาน
ระดับมาตรฐาน
ระดับยาก
ปานกลาง
ระดับยากมาก
1. มีกิจกรรมการจัดการความรู้ 1 เรื่อง
(แจ้งภายใน 20 มี.ค.)
1. มีกิจกรรมการจัดการความรู้ 1 เรื่อง
(แจ้งภายใน 10 มี.ค.)
1. มีกิจกรรมการจัดการความรู้ 1 เรื่อง
(แจ้งภายใน ก.พ.)
1. มีกิจกรรมการจัดการความรู้ 1 เรื่อง
(แจ้งภายใน 15 ก.พ.)
1. มีกิจกรรมการจัดการความรู้ 1 เรื่อง
(แจ้งภายใน ม.ค.)
2. มีการรายงานความก้าวหน้าในการประชุมกก.KM
(ภายใน ก.พ.)
2. มีการรายงานความก้าวหน้าในการประชุมกก.KM
(ภายใน ก.พ.)
2. มีการรายงานความก้าวหน้าในการประชุมกก.KM
(ภายใน ม.ค.)
2. มีการรายงานความก้าวหน้าในการประชุมกก.KM
(ภายใน ม.ค.)
2. มีการรายงานความก้าวหน้าในการประชุมกก.KM
(ภายใน ม.ค.)
3. สรุปบทเรียน
(ส่งภายใน 10 ก.ย.)
3. สรุปบทเรียน
(ส่งภายใน 5 ก.ย.)
3. สรุปบทเรียน
(ส่งภายใน ส.ค.)
3. สรุปบทเรียน
(ส่งภายใน 15 ส.ค.)
3. สรุปบทเรียน
(ส่งภายใน 10 ส.ค.)



4. นำเสนอในการประชุมของสคร.5
(กลุ่มเป้าหมายคือ บุคลากรสคร.5)
4. นำเสนอในการประชุม
(กลุ่มเป้าหมายเป็นบุคลากรภายนอกหน่วยงาน)

- ระดับความสำเร็จของการจัดทำกระบวนการสร้างคุณค่าและกระบวนการสนับสนุน (KPI ร่วม ปี ๒๕๕๕)
  คู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual) ประกอบด้วย
- ที่มา วัตถุประสงค์ ขอบเขต คำจำกัดความ ขั้นตอนการปฏิบัติ (Flowchart)
- สื่อสารให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ และนำไปใช้
- ประเมินผลความพึงพอใจ

ระดับต่ำสุด
ที่ยอมรับได้
ระดับต่ำกว่ามาตรฐาน
ระดับมาตรฐาน
ระดับยาก
ปานกลาง
ระดับยากมาก
1. มีคู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual) 1 เรื่อง
1. มีคู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual) 1 เรื่อง
1. มีคู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual) 1 เรื่อง
1. มีคู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual) 1 เรื่อง
1. มีคู่มือการปฏิบัติงาน (Work Manual) 1 เรื่อง
2. มีการดำเนินการตามคู่มือการปฏิบัติงาน
2. มีการดำเนินการตามคู่มือการปฏิบัติงาน
2. มีการดำเนินการตามคู่มือการปฏิบัติงาน
2. มีการดำเนินการตามคู่มือการปฏิบัติงาน
2. มีการดำเนินการตามคู่มือการปฏิบัติงาน
3. มีสรุปผลประเมินความพึงพอใจ
(ร้อยละ 60)
3. มีสรุปผลประเมินความพึงพอใจ
(ร้อยละ 65)
3. มีสรุปผลประเมินความพึงพอใจ
(ร้อยละ 70)
3. มีสรุปผลประเมินความพึงพอใจ
(ร้อยละ 75)
3. มีสรุปผลประเมินความพึงพอใจ
(ร้อยละ 80)



แลกเปลี่ยนเรียนรู้
คุณนิยม : การทำ KM น่าจะมีวิธีการสร้างบรรยากาศให้เกิดขึ้น เช่น Road map วางแนวทางการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ เช่น เชิญเครือข่ายเข้ามาร่วมทำเพื่อสร้างนวัตกรรม การสร้างบรรยากาศ การสร้างขวัญ/กำลังใจ
ผอ.สคร.๕ : การทำแผนในเดือน ก.ย. ณ โรงแรมเฮอร์มิเทจ โดยยังไม่ได้พูดคุยหารือกันก่อน วันนี้จึงเป็นการ Share vision และค้นหาต้นทุน (คน ความรู้) และหากระบวนการพัฒนา/ให้คุณค่า  
คุณธีรศักดิ์ : KM ในปีนี้เป็นกระแสมากขึ้น และได้กำหนด KM เป็นตัวชี้วัดลงทุกกลุ่มจะง่ายขึ้น ซึ่ง KM เป็นการพัฒนา (ตนเอง+งาน) ที่ทุกคนในกลุ่มจะต้องทำร่วมกัน เรียนลัดจากประสบการณ์
เน้น KM ประกอบด้วย Hand Head Heart ทำจริง มีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ (จากประสบการณ์ และตำรา) และมีทัศนคติที่ดี และแบ่งปันจากการพูดคุย เช่น Face book คุยกันในเรื่องที่ทำและบันทึก (ข้อมูล+ภาพ)
กระบวนการ KM ในปี ๒๕๕๔ ให้ตัวแทนของแต่ละกลุ่มพิจารณางานที่ทำและเลือกผลิต Knowledge Asset โดยมีเวที (หลาย ๆ ครั้ง) ให้มาเล่า Concept กระบวนการ การเก็บข้อมูล และ K. Asset ที่ได้ อย่าให้ KM มาอยู่ที่คนรับผิดชอบ และไม่ให้ KM มาเป็นภาระ ในปี ๕๔ คนที่รับผิดชอบ KM ไม่ใช่คนที่ทำงานนั้นจริง ๆ
คุณนิ่มนวล : ให้ระมัดระวังการใช้ Face book คิดก่อนพูด และพูดเชิงสร้างสรรค์ 
คุณอรสา : แลกเปลี่ยน R2R งานบริหารที่ได้รับรางวัลในปี ๒๕๕๔ เรื่อง การพัฒนาฐานข้อมูลการฝึกอบรมของบุคลากร เพื่อสนับสนุนงานพัฒนาทรัพยากรบุคคล ก่อนทำ รู้สึกว่าอยากทำ แต่เป็นภาระ แต่ทำแล้วเห็นว่าเป็นการพัฒนางาน โดยมีทีมช่วยทำ

วาระที่ ๓ เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา
๒.๑ คณะทำงาน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การทำ KM กระบวนการสร้างคุณค่า/สนับสนุน ของแต่ละกลุ่ม

กลุ่ม
คณะทำงาน
เรื่อง KM
ภาคีเครือข่าย
ดร.เพลินพิศ
การวิจัยประเมินผลโครงการ ๔ อำเภอต้นแบบ
พัฒนาวิชาการ
คุณวิมลพรรณ คุณปรียานุช
คุณธีรศักดิ์ (Fa.)
ถอดบทเรียนกระบวนวิจัย PAR บุหรี่ ปี ๓
สื่อสารฯ
คุณนิยม
คุณมาณวิกา
นวัตกรรมการสื่อสาร ๑๐ โรคตามนโยบายฯ
ระบาด
คุณสุทธิลักษณ์ คุณวีระพงษ์
การสื่อสารผ่าน Facebook สนับสนุนการเฝ้าระวังโรค
ตอบโต้ฯ
คุณประดิษฐ์(เพิ่ม) คุณเฉลิมพร
การประเมินผลกระทบต่อสภาวะสุขภาพ จากภาวะฉุกเฉินอุทกภัย
แผนงานฯ
คุณพรรณรัตน์
แนวทางการพัฒนาการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปากในศูนย์เด็กเล็ก
พัฒนาองค์กร
คุณนิ่มนวล คุณอินท์ฉัตร(เพิ่ม)
คุณนันท์นภัส คุณพรศักดิ์
รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร
บริหาร
คุณพัชรา คุณสนธยา คุณจันทนา
คุณสุทิภรณ์ คุณสุชาวดี คุณสุกัญญา
ประเมินความพึงพอใจการใช้ E-Slip (Online)
ศูนย์อ้างอิงฯ
คุณดอกรัก คุณนที(เพิ่ม)
การพัฒนาคุณภาพศูนย์ซ่อมเครื่องพ่นเคมี
งานเภสัช
คุณดวงจันทร์(เพิ่ม) คุณพัชรภร
การพัฒนาระบบบริหารคลังเวชภัณฑ์ยา
งานชันสูตร
คุณเสวียน(เพิ่ม)
การประกันคุณภาพการตรวจ Slide TB
ศตม.๕.๑
คุณสำอาง
การป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ซ้ำซาก
ศตม.๕.๒
คุณชาญชัย
การเขียนรายงานการสอบสวนโรคไข้เลือดออกให้ได้มาตรฐาน
ศตม.๕.๓
คุณสมพร คุณสุนันทา
การป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ซ้ำซาก
ศตม.๕.๔
คุณจงรัก
การป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกในพื้นที่เกิดโรคซ้ำซาก

กลุ่ม
คณะทำงาน
เรื่อง กระบวนการสร้างคุณค่า/สนับสนุน
ภาคีเครือข่าย
คุณรัฏฐรินีย์
ประเมินโครงการ ๔ อำเภอต้นแบบ
พัฒนาวิชาการ
คุณกัลยาณี
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม
สื่อสารฯ
คุณเบญจมาศ
การสร้างภาพลักษณ์องค์กร
ระบาด ตอบโต้
คุณนันทนา
GIS การประเมินพื้นที่เสี่ยง
แผนงานฯ
ดร.บัณฑิต
กระบวนการประกันคุณภาพการประเมินผล
พัฒนาองค์กร
คุณนิ่มนวล คุณนันท์นภัส
คุณจิระเดช คุณสุนนท์ชัย(เพิ่ม)
กระบวนการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร
บริหาร
คุณจันทนา คุณจามรี
คุณทรงพล
คุณนิตยา
คุณอรสา คุณนงค์นุช
คุณขวัญจิตร์ คุณไปรยา
-ระบบ e-Slip (เหมือน KM)
-ประเมินพนักงานขับรถ Online
-ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
-ฐานข้อมูลบุคลากร
-ระบบเบิกวัสดุ
ศูนย์อ้างอิงฯ
คุณดอกรัก คุณนที
การจัดทำคู่มือการจัดการปัญหายุงลายบ้านระดับชุมชน
งานเภสัช
คุณดวงจันทร์
การพัฒนาระบบบริหารคลังเวชภัณฑ์ยา (เหมือน KM)
งานชันสูตร
คุณเสวียน
การประกันคุณภาพการตรวจ Slide TB (เหมือน KM)
หมายเหตุ ตัวหนังสือสีแดงคือ เพิ่มเติม/แก้ไข

๒.๒ นวัตกรรม (ร่วม)
(๑) การจัดการความรู้พิพิธภัณฑ์แมลงทางการแพทย์และสาธารณสุข (ปี ๕๕ Phase , ปี ๕๖ สรุปผล) คุณนที ทำโครงการเสนอ และกำหนดทีม บทบาท
(๒) E-learning in Social Media (You tube, Face book, Website) คุณวีระพงษ์ ทำโครงการเสนอ และกำหนดทีม บทบาท

การดำเนินการต่อไป
ผู้บริหาร
- สนับสนุนงบประมาณ
- จัดระบบการทำงาน เพื่อสนับสนุนงานทำงาน เช่น การร่วมประชุม KM จัดเวทีประชุมให้บ่อยขึ้น
กลุ่ม
- Share ความคิดเห็นในกลุ่ม การจัดสรรเวลา รวมทีมช่วยทำ
- เน้นการบันทึกอย่างเป็นระบบ (คนเก่งขึ้น ผลงานพัฒนา Process การทำงาน ประเมินผลกระทบ)

ปิดประชุมเวลา ๑๒.๓๐ น.